พาไปรู้จัก 6-6-6 Walking Challenge เทรนด์วิ่งกำลังมาแรง

หากคุณเป็นนักออกกำลังกายสายวิ่ง ที่กำลังมองหาการวิ่งในรูปแบบใหม่เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง หรือเปลี่ยนบรรยากาศไม่ทำให้การวิ่งจำเจเหมือนเดิม แนะนำเทรนด์ “6-6-6 Walking Challenge” หนึ่งในเทรนด์วิ่งที่กำลังมาแรงอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งนอกจากจะให้คุณได้ลองออกกำลังกายในวิธีใหม่ ยังเหมาะกับคนที่เริ่มต้นวิ่ง เพราะจะช่วยให้คุณมีเป้าหมาย และจะเปลี่ยนการวิ่งให้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป! ถ้าพร้อมแล้วนักวิ่งทั้งหลายปักหมุดบทความนี้เซฟไว้ได้เลย
เทรนด์วิ่ง 6-6-6 Walking Challenge คืออะไร ?
เทรนด์การวิ่งแบบ 6-6-6 Walking Challenge คือรูปแบบการออกกำลังกายด้วยการเดินที่มีโครงสร้างชัดเจน โดยตัวเลข "6-6-6" มีความหมายดังนี้:
- 6 ที่หนึ่ง: เดินในช่วงเวลา 6 โมงเช้า หรือ 6 โมงเย็น
- 6 ที่สอง: ใช้เวลาวอร์มอัพและคูลดาวน์อย่างละ 6 นาที
- 6 ที่สาม: เดินต่อเนื่องเป็นเวลา 60 นาที (รวมเวลาวอร์มอัพและคูลดาวน์) และเดินเร็วให้ตามเป้าหมายอีก 48 นาที แล้วคูลดาวน์อีก 6 นาที
จุดเด่นของ Challenge นี้คือความเรียบง่ายและความยืดหยุ่น คุณสามารถเลือกเวลาที่เหมาะกับตารางชีวิตของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าก่อนไปทำงาน หรือตอนเย็นหลังเลิกงาน และไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษใดๆ เพียงแค่มีรองเท้าที่สวมใส่สบาย และพื้นที่สำหรับเดินเท่านั้น
ที่มาของ 6-6-6 Walking Challenge
เทรนด์ 6-6-6 Walking Challenge เริ่มต้นจากโซเชียลมีเดีย (Social Media) และเริ่มเป็นกระแสที่นิยม กลายมาเป็นเทรนด์ที่นักวิ่ง หรือคนที่ชอบออกกำลังกายให้ความสนใจ เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและฟิตเนสหลายคนเริ่มแชร์ประสบการณ์การออกกำลังกายด้วยวิธีนี้ และพบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก ทั้งในแง่ของการเผาผลาญพลังงาน การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการพัฒนาสุขภาพจิต
จากนั้น Challenge นี้ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Instagram, Facebook และ Twitter โดยมีผู้คนจากทั่วโลกแชร์ผลลัพธ์ หรือรีวิวการวิ่งเทรนด์ 6-6-6 Walking Challenge หลังจากทำ Challenge นี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก การมีสุขภาพที่ดีขึ้น หรือการมีความสุขมากขึ้น
วิธีทำ 6-6-6 Walking Challenge
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิ่งมือใหม่ หรือเป็นนักวิ่งที่เชี่ยวชาญอยู่แล้ว สามารถเริ่มทำ 6-6-6 Walking Challenge ได้ด้วยตัวเองไม่ยาก โดยมีหลักการดังต่อไปนี้
1. เลือกเวลาที่เหมาะสม
เลือกเวลาที่เหมาะกับตารางชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะเป็น 6 โมงเช้า หรือ 6 โมงเย็น โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น:
- ตอนเช้า (6:00 น.): เหมาะสำหรับคนที่ชอบตื่นเช้า และต้องการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยพลังงานเต็มเปี่ยม การออกกำลังกายตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญตลอดทั้งวัน และช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น มีสมาธิมากขึ้นในการทำงาน
- ตอนเย็น (18:00 น.): เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคลายเครียดหลังเลิกงาน และต้องการพักผ่อนหลังจากวันที่เหนื่อยล้า การออกกำลังกายตอนเย็นจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น และช่วยลดความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน
2. วอร์มอัพ (6 นาที)
เริ่มต้นด้วยการวอร์มอัพเป็นเวลา 6 นาที เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกาย การวอร์มอัพที่ดีควรประกอบด้วย:
- การเดินช้าๆ (2 นาที): เริ่มต้นด้วยการเดินช้าๆ เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว
- การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (2 นาที): ยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เช่น น่อง ต้นขา สะโพก และหลัง
- การเดินเร็วขึ้นเล็กน้อย (2 นาที): เพิ่มความเร็วในการเดินเล็กน้อย เพื่อเตรียมร่างกายสำหรับการเดินเร็วในช่วงถัดไป
3. เดินเร็ว (48 นาที)
หลังจากวอร์มอัพแล้ว ให้เดินเร็วต่อเนื่องเป็นเวลา 48 นาที โดยพยายามรักษาความเร็วให้อยู่ในระดับที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่ยังสามารถพูดคุยได้ (Talk Test) ซึ่งเป็นระดับความเข้มข้นปานกลาง
สำหรับผู้เริ่มต้น อาจจะแบ่งเป็นช่วงๆ เช่น:
- เดินเร็ว 10 นาที พัก 1 นาที และทำซ้ำจนครบ 48 นาที
- เดินอย่างต่อเนื่อง ไม่เร็วจนเกินไปนักจนครบ 48 นาที และคูลดาวน์อีก 6 นาที
4. คูลดาวน์ (6 นาที)
หลังจากเดินเร็วครบ 48 นาทีแล้ว ให้คูลดาวน์เป็นเวลา 6 นาที เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติ การคูลดาวน์ที่ดีควรประกอบด้วย:
- การเดินช้าลง (3 นาที): ค่อยๆ ลดความเร็วในการเดิน
- การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (3 นาที): ยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อีกครั้ง เพื่อลดอาการปวดเมื่อยและช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ทำไมเทรนด์ 6-6-6 Walking Challenge จึงต้องเดินเร็วให้ครบ 48 นาที
การเดินเร็วต่อเนื่องเป็นเวลา 48 นาทีจะช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ "Fat-Burning Zone" หรือโซนการเผาผลาญไขมัน ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลัก โดยทั่วไป Fat-Burning Zone อยู่ที่ประมาณ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด ซึ่งพอดีกับระดับความเข้มข้นของการเดินเร็ว ดังนั้นการวิ่งไม่ได้แปลว่าจะช่วยเผาผลาญได้ดีเสมอไป ถ้าใครรู้สึกเหนื่อยเกินไปกับการวิ่งแล้ว หันมาเดินเร็ว 48 นาที โดยใช้หลัก 6-6-6 Walking Challenge กันดีกว่า
ข้อดีของการเดิน 6-6-6 Walking Challenge
นอกเหนือจากการเผาผลาญ การเดินเร็วจะช่วยในเรื่องการทำให้สุขภาพดี ทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะสามารถช่วยได้ในหลายเรื่องด้วยกัน ได้แก่
1. ส่งผลต่อผลฮอร์โมนและสารสื่อประสาท
เมื่อคุณออกกำลังกายด้วยการเดินจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนและสารสื่อประสาทหลายชนิด ซึ่งส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้ร่างกายหลังสารมาหลายชนิด เช่น
- เอนดอร์ฟิน (Endorphins) ฮอร์โมนแห่งความสุขที่ช่วยลดความเครียดและความเจ็บปวด
- โดปามีน (Dopamine) การออกกำลังกายจะเพิ่มระดับโดปามีนในสมอง ซึ่งช่วยให้คุณรู้สึกมีความสุขและมีแรงจูงใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ช่วยเพิ่มระดับความสุขได้ดี
- เซโรโทนิน (Serotonin) สารสื่อประสาทที่โดดเด่นเรื่องการควบคุมอารมณ์ และการนอนหลับ การออกกำลังกายจะเพิ่มระดับเซโรโทนินในสมอง ซึ่งช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น เหมาะกับผู้ป่วยจิตเวช
2. ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
การเดินเร็วเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) ที่ช่วยพัฒนาระบบหัวใจและหลอดเลือด สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ ทำให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจได้ดี ลดความดันโลหิตได้ทั้งค่าบนและค่าล่าง อีกทั้งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มระดับ HDL หรือไขมันดี ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ด้วย
3. เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
เพราะการเดินเร็วจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี หากใครที่ยังไม่รู้ การเดินเร็วทำให้คุณทรงตัวได้อย่างดีขึ้น มีก้าวเดินที่กระฉับกระเฉง เหมาะกับการออกกำลังกายสำหรับผู้เริ่มต้น
เคล็ดลับการทำ 6-6-6 Walking Challenge ให้ประสบความสำเร็จ
อันที่จริงแล้วเคล็ดลับของการทำชาเล้นจ์ 6-6-6 Walking Challenge ไม่ยากอย่างที่คิด ใครๆ ก็เริ่มทำได้ โดยอาจจะค่อยเป็นค่อยไป หรือค่อยๆ เพิ่มจำนวนนาทีในการเดินให้ครบตามเป้าหมายที่วางไว้ และมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่ปฎิบัติตามได้ไม่ยากเลย
- เลือกเส้นทางที่น่าสนใจ การเลือกเส้นทางที่น่าสนใจ เช่น สวนสาธารณะ เส้นทางจักรยาน หรือย่านที่มีทัศนียภาพสวยงาม จะช่วยให้การเดินไม่น่าเบื่อ และทำให้คุณมีกำลังใจอยากจะเดินต่อไปเรื่อยๆ
- ใช้เทคโนโลยีช่วยจับเวลา แนะนำให้คุณลองใช้แอปพลิเคชันติดตามการออกกำลังกาย เช่น Strava, Nike Run Club, หรือ Garmin Connect เพื่อบันทึกระยะทาง เวลา และแคลอรี่ที่เผาผลาญ ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นความก้าวหน้าและสร้างแรงจูงใจในการทำ Challenge อย่างต่อเนื่อง
- สร้างนิสัยและความสม่ำเสมอ คุณควรมีตารางการเดินเร็ว หรือการออกกำลังกายที่ชัดเจน และต้องออกกำลังกายด้วยความสม่ำเสมอ อาจจะมีการหยืดหยุ่นให้กับตัวเองบ้าง แต่ต้องไม่ละเลย ซึ่งช่วยเพิ่มวินัยได้ดี
- ฟังเพลงหรือ Podcast ระหว่างการทำ 6-6-6 Walking Challenge ถ้าหากพบว่ามันน่าเบื่อจนเกินไป ให้ลองพกหูฟัง เปิดฟังเพลงไปตลอดทาง หรือหา Podcast สักเรื่อง เพื่อทำให้การเดินมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- เลือกรองเท้าที่เหมาะสม การเลือกรองเท้าที่ใช้เดินนั้นสำคัญมาก เพราะนอกจากรองเท้าเดินเร็วที่ดีจะช่วยซัพพอร์ตเท้าได้แล้ว ยังทำให้ลดอาการบาดเจ็บ หรือทำให้การก้าวเดินเป็นไปอย่างมั่นคง แนะนำลงทุนรองเท้าสำหรับเดิน หรือรองเท้าเดินเร็วสักคู่ ไว้เป็นเพื่อนร่วมทางคู่ใจในขณะทำ 6-6-6 Walking Challenge
แนะนำรองเท้าเดินเร็ว HOKA

1. HOKA-CLIFTON 10
ทั้งน้ำหนักที่เบาลง และการซัพพอร์ตเท้าที่ดีขึ้น เราจึงเลือกรุ่นนี้มาเพื่อแนะนำสำหรับคนที่มองหารองเท้าสำหรับวิ่ง เดิน หรือแม้แต่เดินเร็ว เพราะมีประสิทธิภาพในการลดแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ซึ่งรุ่นนี้ได้มีการใช้โฟมแบบใหม่ และถูกออกแบบพื้นชั้นนอกแบบใหม่ พื้นรองเท้าชั้นกลาง (CMEVA midsole) ช่วยดูดซับแรงกระแทกและส่งคืนพลังงาน ทั้งเหมาะสำหรับการเดินและวิ่งในชีวิตประจำวัน ทั้งเบาและนุ่มสบาย คือจุดเด่นพิเศษของรองเท้า HOKA รุ่นนี้

2. HOKA-BONDI 9
หากคุณชื่นชอบรองเท้า HOKA แต่ยังไม่เคยลองซีรีย์ BONDI แนะนำเป็นอย่างมาก เพราะ HOKA-BONDI 9 เป็นที่สุดของรองเท้าที่ช่วยลดแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม มาพร้อมสัมผัสที่นุ่มเวลาที่ลงน้ำหนัก เพราะใช้โฟมแบบ Super Critical EVA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ อีกทั้งยังทำให้ตอบสนองการวิ่ง หรือเดินเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการปรับความหนาของพื้นรองเท้าขึ้นอีก 2 มม. อีกทั้งยังมีส่วนหุ้มข้อเท้า 3D Molded Collar เพื่อเพิ่มความสบาย หากคุณอยากทำ 6-6-6 Walking Challenge ตามเทรนด์แนะนำ HOKA-BONDI 9


3. HOKA-RINCON 4
ใครตามหารองเท้า HOKA ที่มีน้ำหนักเบา ขอแนะนำ HOKA-RINCON 4 ซึ่งเป็นรุ่นที่มีความโดดเด่นในเรื่องของน้ำหนัก เวลาสวมใส่รู้สึกเบาสบายเท้าเป็นพิเศษ เหมาะทั้งสำหรับการวิ่ง เดิน หรือเดินเร็วมาก ที่สำคัญคือเป็นรุ่นที่อัปเกรดด้วยการออกแบบที่เน้นความเรียบง่ายแต่ยังคงประสิทธิภาพในการรองรับแรงกระแทกได้ดี จุดเด่นอีกหนึ่งอย่างคือการดีดตัวที่ดี ทำให้ออกแรงวิ่ง หรือรู้สึกยืดหยุ่นขณะก้าวเดิน และใช้พื้นชั้นกลางที่ทำจาก Compression-Molded EVA (CMEVA) และมีการเพิ่มความหนาให้พื้นโฟมเป็นแบบ 2 ชั้น ทำให้ลดแรงกระแทกได้ดีกว่าเดิมมาก


4. HOKA-SKYFLOW
เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน แต่ก็เรียกความฮือฮาจากคนที่ชอบวิ่งอยู่ไม่น้อย เพราะมีการพัฒนา และอัปเกรดให้พื้นยางมีความหนา เพิ่มความทนทาน และรับน้ำหนัก แม้จะเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะ รุ่นนี้ก็เอาอยู่ โดดเด่นด้วยการรองรับแรงกระแทกที่สมดุลและนุ่มนวล ใช้พื้นชั้นกลาง Supercritical EVA ที่มีความนุ่มมาก ยกให้เป็นรองเท้าวิ่งแนะนำ ที่เหมาะกับการใช้ 6-6-6 Walking Challenge รวมถึงการหยิบมาเป็นรองเท้าคู่ประจำเวลาไปเทรนนิ่ง นับว่าเป็นรองเท้าเทรนนิ่งที่หยิบมาใส่ได้ทุกวัน


5. HOKA-SKYWARD X
แม้ราคาจะค่อนข้างสูง แต่ HOKA-SKYWARD X ได้ทำออกมาได้ดี มีความพรีเมียม และยกระดับรองเท้าวิ่งให้เหมาะสมทั้งกับการวิ่ง หรือเดินเร็ว มีการซัพพอร์ตเท้าเป็นเลิศ มาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อมอบการรองรับแรงกระแทกสูงสุดและการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม ด้วยนวัตกรรม BIG ที่สามารถใส่คู่นี้ไปฝึกซ้อมการวิ่งได้ในทุกวัน ถ้าหากว่าคุณกำลังมองหารองเท้าวิ่งที่มีการซัพพอร์ตที่ดี มีความนุ่มเด้ง และมีพื้นรองเท้าที่มั่นคง เนื่องจากใช้นวัตกรรม Deep Active Foot Fram ช่วยประคองเท้าได้ดี แนะนำ HOKA-SKYWARD X


6. HOKA-GAVIOTA 5
ที่สุดของรองเท้าวิ่ง ที่ก็เหมาะสำหรับการเดินเร็วด้วยกับรุ่นนี้ HOKA-GAVIOTA 5 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี เทคโนโลยี H-Frame™ อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ HOKA โดดเด่นเรื่องการเสริมสร้างความมั่นคง ทำให้เวลาก้าวเดิน หรือใช้ความเร็วคุณจะสามารถทรงตัวได้ดี และยังเหมาะกับการใช้เดิน หรือวิ่งนานๆ เพราะจะซัพพอร์ตดี ไม่ทำให้รู้สึกเมื่อย อีกทั้งยังป้องกันการบิดของเท้า ทำให้ Gaviota 5 เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาเท้าแบนหรือต้องการความมั่นคงในการเดิน และเทคโนโลยี Early stage MetaRocker™ ทำให้ทรงตัวได้ดีทุกสภาพพื้นผิวถนน


7. HOKA-ARAHI 7
ตามหารองเท้าที่เน้นการซัพพอร์ตอุ้งเท้าเป็นหลัก HOKA-ARAHI 7 ตอบโจทย์อย่างเป็นที่สุด เพราะว่าใช้เทคโนโลยี J-Frame™ ที่เน้นการซัพพอร์ตอุ้งเท้า และเวลาลงน้ำหนัก ช่วยให้ก้าวเดินได้อย่างดี มั่นคง แม้คุณจะเป็นคนที่น้ำหนักตัวเยอะ หรือว่ามีอุ้งเท้าในขนาดที่กว้าง มาพร้อมกับอัปเปอร์ผ้าถักที่รองรับเท้าได้ดี ช่วยระบายอากาศ แม้จะใช้เดิน หรือวิ่งเป็นระยะเวลานาน จะไม่รู้สึกว่าอึดอัดเลย น้ำหนักเบาเพียงแค่ 282 กรัม

สำหรับการเดินเร็วด้วยหลักการ 6-6-6 Walking ไม่จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน เพียงแค่จัดตารางการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมีวินัยกับตนเอง จะช่วยทำให้ชาเล้นจ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และอย่าลืมเลือกรองเท้าสำหรับเดินเร็ว ที่นอกจากจะใส่เดินเร็ว ยังหยิบมาใส่ได้ในชีวิตประจำวัน โดยความโดดเด่นของรองเท้าที่เหมาะกับการเดิน มีส่วนช่วยซัพพอร์ตแรงกระแทกได้ดี มีเทคโนโลยีล้ำสมัยในการผลิต ทำให้ทุกการเดินของคุณมั่นคงแน่นอน